shopup.com

ดูบทความการเลือกซื้อคอมพิวเตอร์สำหรับนักซื้อมือใหม่

การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์สำหรับนักซื้อมือใหม่

ยุคแห่งโลกาภิวัฒน์ เครื่องคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันอย่างมาก ตั้งแต่งานพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำเอกสาร การจัดเก็บและบันทึกข้อมูล การออกแบบ การค้นคว้าหาความรู้ ตลอดจนการให้ความบันเทิง เป็นต้น คอมพิวเตอร์จึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้และติดตามความก้าวหน้า อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้อาจจะทำให้คุณตัดสินใจเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ได้ยากลำบากยิ่งขึ้น ดังนั้น การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์จึงเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความเข้าใจเป็นหลัก คุณจะต้องเข้าใจ "ธรรมชาติของเทคโนโลยี" ที่มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว และที่สำคัญ คุณจะต้องเข้าใจว่าจะ "ซื้อคอมพิวเตอร์ไปทำอะไร" หากคุณสามารถตอบคำถามนี้ได้ การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

 

1. คุณจะนำคอมพิวเตอร์ไปใช้ทำงานประเภทใด

ก่อนเลือกซื้อคอมพิวเตอร์สักเครื่อง อันดับแรก คุณจะต้องถามตนเองก่อนว่า คุณมีความจำเป็นมากแค่ไหนที่ต้องซื้อคอมพิวเตอร์มาใช้งาน เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีราคาค่อนข้างสูง การลงทุนลงไปจึงต้องให้คุ้มค่าที่สุด ดังนั้น จึงควรคิดว่าจะนำมาใช้ทำงานลักษณะใด เพื่อคุณจะสามารถหาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับลักษณะงานของคุณ ลักษณะของงานที่จะนำคอมพิวเตอร์มาใช้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้

ใช้ งานเกี่ยวกับเอกสารเป็นหลัก ที่นิยมใช้ส่วนใหญ่มักจะใช้ซอฟต์แวร์สำนักงานทั่วไป เช่น เวิร์ดโปเซสเซอร์ (Word Processor) สเปรดชีส (Spread Sheet) พรีเซนเทชั่น (Presentation) เป็นต้น หากนำคอมพิวเตอร์มาใช้ทำงานลักษณะเช่นนี้ คุณไม่จำเป็นต้องซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะในการทำงานที่สูงมากนัก เพราะอาจทำให้สิ้นเปลืองเงินโดยใช่เหตุ

ใช้งานเกี่ยวกับการออกแบบ กราฟิกดีไซน์ งานด้านนี้คุณจำเป็นต้องอาศัยซอฟต์แวร์เฉพาะด้าน เช่น โฟโต้ช้อป (PhotoShop) อิลาสเทเตอร์ (Illustrator) ฯลฯ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เลือก ควรมีสมรรถนะในการทำงานสูงกว่าคอมพิวเตอร์ที่ใช้ทำงานประเภทแรก

ใช้ในงานที่มีความสลับซับซ้อนมากขึ้นในด้านการคำนวณ งานวิศวกรรม งานออกแบบ หรือฐานข้อมูลขนาดใหญ่ คอมพิวเตอร์ที่จะนำมาใช้งานด้านนี้ จะต้องมีสมรรถนะในการทำงานที่ดีเยี่ยมเ พื่อให้สามารถรองรับการทำงานที่มีความสลับซับซ้อนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

2. คุณจำเป็นต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เป็นระบบเครือข่ายหรือไม่

การสร้างระบบเครือข่ายจะช่วยให้คุณใช้อุปกรณ์ต่างๆ ร่วมกันได้ อาทิ เครื่องพิมพ์ (Printer) เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้คุณประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว รวมทั้งยังช่วยให้คุณสลับการใช้งานระหว่างผู้ใช้หลายๆ คนได้ง่ายขึ้น การเชื่อมต่อเป็นระบบเครือข่าย อาจเริ่มต้นที่คอมพิวเตอร์เพียง 2 เครื่อง และเพิ่มมากขึ้นตามความเหมาะสมของงาน หากคุณคิดว่าจะมีการเชื่อมต่อเป็นระบบเครือข่ายด้วย ควรเลือกซื้อคอมพิวเตอร์ที่มีการ์ดแลน (LAN Card) ในตัว หรือหากไม่มี คุณสามารถซื้อชุดระบบเครือข่ายสำเร็จรูปมาใช้ก็ได้

3. ข้อมูลของคุณมีขนาดและมีความสำคัญมากแค่ไหน

การ นำคอมพิวเตอร์มาจัดเก็บข้อมูลนั้น อาจเป็นการเก็บข้อมูลตั้งแต่ข้อมูลขนาดเล็กไปจนถึงข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งหากคุณใช้จัดเก็บเพียงแค่งานเอกสารทั่วไป อุปกรณ์เสริมในการสำรองข้อมูลของคุณ มีเพียงแค่ฟล๊อปปี้ดิส (Floppy Disk) ขนาด 1.44 MB ก็เพียงพอ แต่หากคุณนำคอมพิวเตอร์มาใช้เพื่อจัดเก็บข้อมูลของพนักงาน ข้อมูลเงินเดือน หรือแผนงานด้านธุรกิจ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นหัวใจของการทำธุรกิจ หากอุปกรณ์ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณ เกิดความเสียหายขึ้น คุณก็จะประสบปัญหาอย่างมากมาย ดังนั้น สิ่งที่ควรทำ คือ การเพิ่มอุปกรณ์สำรองข้อมูลที่มีความจุสูงและสามารถพกพาติดตัวได้ เช่น Zip Disk มีขนาด 3.5 นิ้ว สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 100 MB ซึ่งเป็นขนาดความจุที่เหนือกว่าแผ่นฟล๊อปปี้ดิส (Floppy Disk) และสิ่งที่คุณควรทำเสมอ ก็คือการสำรองข้อมูลสำคัญเป็นประจำ และนำข้อมูลที่สำรองไปจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย

4. คุณมีสถานที่ตั้งคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมแล้วหรือยัง

อายุการใช้งานโดยเฉลี่ยของเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่ที่ประมาณ 3 ปีสำหรับแบบตั้งโต๊ะ (Personal Computer) และ 2 ปีสำหรับแบบพกพา (Note Book) ดังนั้น เพื่อยืดอายุการใช้งานของคอมพิวเตอร์ คุณควรให้ความสำคัญเรื่องสถานที่ตั้ง สถานที่ที่เหมาะสมควรมีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ไม่ร้อนจนเกินไป มีฝุ่นละอองน้อย และใช้ผ้าคลุมเครื่องทุกครั้งหลังการใช้งาน หากเป็นเครื่องแบบพกพา (Note Book) ควรมีกระเป๋าใส่เพื่อกันการกระแทก และควรตั้งใช้งานบนพื้นที่ราบเรียบ เมื่อคุณมีสถานที่ที่เหมาะสมและดูแลอย่างถูกวิธี คอมพิวเตอร์ก็จะสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

5. คุณมีความจำเป็นต้องใช้ระบบอินเทอร์เน็ต (Internet) หรือไม่

ปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ถูกนำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการสื่อสารระหว่างกัน คุณควรให้ความสนใจกับอุปกรณ์เสริม ที่จะช่วยให้คุณสามารถเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต (Internet) ได้อย่างรวดเร็ว นั้นก็คือโมเด็ม (Modem) คุณควรเลือกใช้โมเด็ม (Modem) ที่มีความเร็วตั้งแต่ 56 KB ขึ้นไป ซึ่งอุปกรณ์เสริมนี้มีทั้งแบบติดตั้งภายในและภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์ และที่จะขาดไม่ได้คือสายโทรศัพท์ ควรแยกต่างหากเพื่อใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (Internet) โดยเฉพาะ เพื่อป้องกันการขัดจังหวะระหว่างการติดต่อสื่อสารนั้นเอง

6. คุณจำเป็นต้องเดินทางบ่อยหรือไม่

การ เลือกซื้อคอมพิวเตอร์ คุณควรพิจารณาถึงลักษณะการทำงานทั่วไป เพื่อเลือกชนิดคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมกับการใช้งานและนอกจากคอมพิวเตอร์ที่ เคยเห็นกันในปัจจุบันแล้ว ยังมีคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอีก 2 ชนิด คือ เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ (Palm หรือ Handspring) และเครื่องพกพา (Notebook หรือ Handheld) การเลือกใช้มีหลักในการพิจารณา ดังนี้


หากคุณไม่จำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขณะเดิน ทาง ให้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (Personal Computer) เพราะจะทำให้คุณได้คอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูง ราคาไม่แพง เรียกได้ว่าคุ้มค่าที่สุดในบรรดาคอมพิวเตอร์ชนิดอื่นๆ

หากคุณจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขณะเดินทางบ่อยๆ ควรพิจารณาเลือกใช้คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Notebook) เพราะคุณจะสามารถนำติดตัวไปได้ตลอดเวลาและมีสมรรถนะเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์ แบบตั้งโต๊ะ (Personal Computer) เพียงแต่มีน้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายได้สะดวก แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงเสมอ คือ คอมพิวเตอร์แบบพกพาอาจเสียหายหรือสูญหายได้ระหว่างการเดินทาง ดังนั้น คุณควรมีการสำรองข้อมูลไว้ทุกครั้งเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น

หากคุณจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์ขณะเดินทาง แต่เพื่อการนัดหมายหรือเก็บข้อมูลเพียงเล็กน้อย แนะนำให้เลือกซื้อคอมพิวเตอร์มือถือหรือคอมพิวเตอร์พกพาขนาดจิ๋ว เช่น ปาล์ม (Palm) หรือ แฮนด์สปริง (Handspring) เป็นต้น

7. คุณต้องการซื้อเครื่องใหม่ หรืออัพเกรด (Upgrade) จากเครื่องเก่า

ปัจจุบันนวัตกรรมด้านคอมพิวเตอร์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อุปกรณ์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ๆ บางครั้งไม่สามารถนำมาใส่และใช้งานร่วมกับอุปกรณ์เก่าได้ สำหรับคำถามยอดนิยม คือ ควรจะอัพเกรด (Upgrade) จากเครื่องเก่า หรือควรจะซื้อเครื่องใหม่ดีกว่านั้น สามารถสรุปเป็นแง่คิดได้ ดังนี้

เครื่องที่ซื้อมาไม่เกิน 1 ปีแนะนำให้อัพเกรด (Upgrade) เพราะยังสามารถหาอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกันได้

เครื่องที่ซื้อมาระหว่าง 1 - 2 ปี ยังสามารถที่จะอัพเกรด (Upgrade) ได้ แต่คงต้องเปลี่ยนอุปกรณ์หลายชิ้น ดังนั้น ควรพิจารณาราคาความคุ้มค่าประกอบการตัดสินใจด้วย

เครื่องที่ซื้อมาเกิน 2 ปี ส่วนใหญ่แล้วยังสามารถที่จะอัพเกรด (Upgrade) ได้ แต่มักจะไม่คุ้มค่า เพราะหากเพิ่มขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถซื้อเครื่องใหม่ได้ หรือหากคุณยังไม่อยากซื้อเครื่องใหม่และต้องการประหยัด ก็สามารถอัพเกรด (Upgrade) อุปกรณ์ภายในทั้งหมด ซึ่งจะทำให้คุณได้เเสมือนเครื่องใหม่ แต่ยังคงอุปกรณ์หลักๆ บางชิ้น เช่น เมาส์ (Mouse) จอ (Monitor) หรือ คีย์บอร์ด (Key Board) อาจใช้ของเก่าได้ เป็นต้น

8. คุณคิดจะเช่าเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่

บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายราย มีข้อเสนอให้เช่าคอมพิวเตอร์ โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องซื้อก็ได้ สิ่งที่คุณจะได้รับก็คือเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ใหม่ล่าสุด และหากคุณเลิกใช้งาน ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับคอมพิวเตอร์เครื่องเก่าที่ต้องหมดสภาพ ใช้งานไม่ได้อีกต่อไป นอกจากนั้น ยังช่วยคุณประหยัดเงินก้อน และหากเกิดความเสียหายในระยะประกัน ผู้ขายก็ยินดีที่จะซ่อมแซมให้ โดยที่คุณไม่ต้องซื้อการรับประกันราคาแพงเหมือนการซื้อคอมพิวเตอร์เครื่อง ใหม่


ที่มา สุภาวดี บุญงอก สถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

 

 

รับซื้อคอมพิวเตอร์ บริษัทรับซื้อคอมพิวเตอร์

27 มีนาคม 2566

ผู้ชม 493 ครั้ง

Engine by shopup.com